ชี้ “หุ้นจีน” น่าสนใจทุกตลาด...แต่ระยะสั้น ‘H-Share’ กลับมาเด่นอีกครั้ง !!!

“ตลาดหุ้นจีน” หลายคนคุ้นหูคุ้นตาคำๆ นี้ เป็นอย่างดี เพราะในปีที่ผ่านมาเป็นไม่กี่ตลาดที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก เพราะความแข็งแกร่งของภาคการบริโภคในประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังเจอกับสถานการณ์แพร่ระบาดของ ‘ไวรัส COVID-19’
ทำให้นักลงทุนไม่น้อยต้องแปลกใจ จนถึงขั้นเบนเข็มการลงทุนมายัง “ตลาดหุ้นจีน” แต่ถึงอย่างนั้นตลาดหุ้นดังกล่าวก็ได้มีการแบ่งแยกกลุ่มย่อยออกมาเป็นหลายกลุ่ม ซึ่งที่ตลาดที่เราได้ยินหรือคุ้นหูอยู่บ่อยๆ ก็เป็นตลาด ‘A-share (หุ้นจีนที่ list ในตลาดเซี่ยงไฮ้และเสินเจิ้น)’ และ ‘share (หุ้นจีนที่ list ในตลาดฮ่องกง)’
แต่ในช่วงที่ผ่านมานี้ ตลาด ‘H-share’ ที่ถูกมองข้ามไปนาน กลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวนมากอีกครั้ง หลังดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ต้นปีกว่า 10% แซงหน้า ‘A-Share’ ที่บวกไป 4% กว่า เท่านั้น ทำให้สร้างความแปลกใจให้แก่ตลาดเป็นอย่างมาก
ในวันนี้ทาง ‘Wealthy Thai’ จึงอยากยกประเด็นดังกล่าวมาเล่าสู่กันฟัง ผ่านมุมมองผู้เชี่ยวชาญบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) มาแชร์ให้แก่ผู้ที่สนใจกันในครั้งนี้
“ตลาดหุ้นจีน” น่าสนใจทุกตลาด...อยู่ที่การ ‘รับความเสี่ยง’ และ ‘สไตล์การลงทุน’
โดยเริ่มที่ “ดร.สมชัย อมรธรรม” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ให้มุมมองว่า อย่างที่เรารู้กันดี “ตลาดหุ้นจีน” ในปี 2564 ถือยังเป็นตลาดที่เติบโตได้ต่อเนื่อง จากการบริโภคในประเทศด้วยประชากรในประเทศที่เยอะส่งผลให้ดีมานด์และซัพพลายยังเติบโตได้ ซึ่งคาดว่าในระยะยาวจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำของโลกได้ไม่ยาก ยิ่งได้ปัจจัยอย่าง COVID-19 จะช่วยผลักดันให้ไวขึ้น
จึงทำให้ตลาดหุ้นจีนยังคงมีความน่าสนใจ แต่แยกความน่าสนใจของแต่ละกลุ่มนั้นต้องทำความเข้าใจกลุ่มอุตสาหกรรมของธุรกิจในตลาดก่อน โดย ‘All-share’ เป็นตลาดที่ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นแก่นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนสูง เนื่องจากมีความหลากหลายของอุตสาหกรรมและมีการจดทะเบียนอยู่ในหลากหลายประเทศ จึงมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ
(ดร.สมชัย อมรธรรม)
“ขณะที่ตลาด ‘A-share’ เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตในระดับที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนเป็นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก จึงทำให้การเติบโตสอดคล้องไปตามเศรษฐกิจในประเทศ ขณะเดียวกันกลุ่มดังกล่าวได้เริ่มให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนได้ไม่นาน จึงยังมีโอกาสที่เม็ดเงินจะเข้าไปลงทุนได้อีกค่อนข้างสูง”
ส่วนตลาด ‘H-share’ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันตลาดค่อนข้างโดดเด่น เนื่องจากได้รับข่าวดีจากการออกแสดงตัวของ “แจ็ค หม่า” ที่พูดเกี่ยวกับการได้รับสิทธิประโยชน์ของ ‘Ant Group’ ให้เข้าถึงและดูแลระบบต่าง ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจหุ้นดังกล่าว จนส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้เหมาะสมกับภาพการลงทุนใน ‘ระยะสั้น’
แนะนำนักลงทุน…“ตลาด All-Share” เป็นตัวเลือกที่ ‘ยืดหยุ่น’
โดยภาพการลงทุนใน ‘ระยะยาว’ แนะนำสำหรับนักลงทุนที่สนใจอาจจะเน้นการลงทุนแบบยืดหยุ่นหรือใน ‘All-share’ ซึ่งน้ำหนักการลงทุนส่วนใหญ่จะอยู่ใน A-Share เป็นหลัก หรือก็สามารถผสมกันระหว่าง A-share และ H-share ในสัดส่วน 50/50 หรือปรับเพิ่มตามการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล
“A-share” และ “H-share”...น่าสนใจทั้งคู่
ฟาก “นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส” Chief Investment Officer บลจ.ไทยพาณิชย์ จำกัด ได้ให้มุมมองว่า “ตลาดหุ้นจีน” เป็นตลาดที่มีความน่าสนใจในตัว ซึ่งทำให้ความน่าสนใจของตลาด ‘A-share’ และ ‘H-share’ นั้นไม่ต่างกันมากนักหรือเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจทั้งคู่
โดยตลาด ‘H-share’ ในปัจจุบันก็ได้มีการขับเคลื่อนของการจดทะเบียนของบริษัทที่เป็นอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่าง ‘เทคโนโลยี’ มากขึ้น จากเดิมที่สัดส่วนของตลาดจะเป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทำให้ตลาดจะมีการเติบโตได้อีกในอนาคต จึงทำให้การเติบโตในระยะยาวไม่ต่างจาก ‘A-share’ มากนัก
(คุณนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส)
“ขณะเดียวเกณฑ์การลงทุนของตลาดได้มีความยืดหยุ่นในการลงทุนมากขึ้น โดยให้นักลงทุนจีนเองสามารถโยกเงินเข้ามาลงทุนยังตลาด ‘H-share’ ได้อย่างอิสระ ส่วนนักลงทุนต่างชาติเองก็สามารถลงทุนในตลาด ‘A-share’ ได้มากขึ้น จึงอาจทำให้โอกาสที่เม็ดเงินไหลเข้าตลาดทั้ง 2 ได้เพิ่มขึ้น”
แนะการลงทุน...ขึ้นอยู่กับความสามารถใน ‘การรับความเสี่ยง’ แต่ละบุคคล
สำหรับนักลงทุนสนใจนั้นการจะให้น้ำหนักการลงทุนใน 2 ตลาดดังกล่าว อาจจะขึ้นอยู่กับความสามารถใน ‘การรับความเสี่ยง’ ของแต่ละบุคคลและ ‘สไตล์การลงทุน’ แต่อย่างไรก็ดีในระยะสั้นอาจจะเห็นการตัวปรับตัวของตลาด ‘H-share’ ที่สูงกว่าตลาด ‘A-share’ เนื่องจากในปีที่ผ่านมาตลาด ‘A-share’ ปรับตัวขึ้นค่อนข้างสูง จึงอาจเห็นการพักตัวหรือขึ้นได้ไม่มาก
เตือนลงทุนแค่ตลาดใดตลาดหนึ่ง…อาจไม่เหมาะสมนัก
สุดท้าย “คมสัน ผลานุสนธิ” กรรมการบริหาร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาดและผลิตภัณฑ์ บลจ. แอสเซท พลัส จำกัด ได้ให้มุมมองที่ต่างออกไปว่า การจะให้น้ำหนักลงทุนในตลาดใดตลาดหนึ่งของ “หุ้นจีน” นั้นอาจดูไม่เหมาะสมนัก จึงมองว่าการลงทุนในแอคทีพ ฟันด์ ที่ลงทุนใน ‘All-share’ สมเหตุสมผลกว่า เนื่องจากจะมีการปรับน้ำหนักการลงทุนตามภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
(คุณคมสัน ผลานุสนธิ)
“ตลาดหุ้นจีน ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่เป็น Top pick ในปีนี้ แต่การจะเข้าไปลงทุนก็ในแต่ละตลาดก็ต้องมีการคัดเลือกหรือคัดกรองตลาดที่ดูแล้วมีความน่าสนใจที่สุด แต่สำหรับ ‘ตลาดหุ้นจีน’ คงเป็นข้อยกเว้น…เพราะทุกตลาดนั้นมีความน่าสนใจไม่แตกต่างกัน”