ชี้ธีม “เทคโนโลยี&นวัตกรรม” ยังไม่จบรอบ...ไปได้อีกไกล 5 – 7 ปี !!!

“เทคโนโลยี&นวัตกรรม” ถือเป็นธีมที่ร้อนแรงที่สุดแห่งปี20 ที่ผ่านมาเลยทีเดียว จนมีการแตกสายย่อยออกมาอีกมากมายในช่วงหลัง ที่มีการโฟกัสในแต่ละเทคโนโลยีชัดเจนขึ้นด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน
หลายคนกังวลว่า...หลังจากผลตอบแทนพุ่งแรงมาแล้วยังจะไปต่อได้หรือไม่นั้น?
ทาง “บลจ.ฟิลลิป” เจ้าแห่งธีมเทคโนโลยีรายหนึ่งของอุตสาหกรรมกองทุนไทย มองว่า ‘Mega Trend’ นี้ยังจะไปได้อีกไกลในอีก 5 – 7 ปี ข้างหน้า เพราะมีปัจจัยบวกที่หนุนอยู่อย่างแข็งแกร่ง
วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthytha’ มีเรื่องราวที่น่าสนใจมาฝากกันเช่นเคย
“เทคโนโลยี&นวัตกรรม” ธีมการลงทุน Mega Trend ที่ยังไปต่อได้อีก 5 – 7 ปี
โดย “ติยะชัย ชอง” กรรมการผู้จัดการ บลจ. ฟิลลิป จำกัด มองว่า ในปีที่ผ่านมา ‘หุ้นเทคโนโลยี’ ปรับตัวขึ้นมามากก็จริง แต่ยังคงเป็นธีมหลักที่ยังสามารถจะไปต่อได้ในอีก 5 – 7 ปีข้างหน้า หากย้อนดูอดีตจะพบว่าหุ้นที่เป็น ‘Mega Trend’ จะเติบโตได้ในทุกภาวะตลาดแม้ในช่วงวิกฤติก็ตาม เราเพียงแค่ต้องมองหา ‘Mega Trend’ นั้นให้เจอแล้วดูว่าประเทศไหนหรือกลุ่มอุตสาหกรรมใดที่จะได้รับประโยชน์จาก ‘Mega Trend’ ตรงนั้นแล้วก็เลือกเข้าไปลงทุน อย่างถ้ามองในระดับประเทศ ‘สหรัฐ’ ก็เป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้วไม่ได้จำกัดแค่สหรัฐเท่านั้น ‘จีน’ เองก็เป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน
(คุณติยะชัย ชอง)
โดยมี 4 ปัจจัยที่จะสนับสนุนให้ ‘ธีมเทคโนโลยี&นวัตกรรม’ ยังเติบโตต่อไปได้ในอีก 5 – 7 ปี ข้างหน้า ได้แก่
1.Digitization: การที่คนใช้ชีวิตในโลกดิจิตอลมากขึ้น
2.The future of energy: การมาของพลังงานทางเลือก
3.Aging population: การมาของนวัตกรรมทางการแพทย์
4.The rise of Asia: พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจโยกจากตะวันตกมาสู่ตะวันออก นำโดย ‘จีน’
“การลงทุนไปกับธีมเทคโนโลยีจึงยังเป็นโอกาสในการลงทุนให้กับนักลงทุนไทยอยู่ บริษัทเองก็มี ‘กองทุนเปิดฟิลลิปเวิลด์อินโนเวชั่น (PWIN)’ ซึ่งในปีที่แล้วก็ทำผลตอบแทนได้ถึง 94% และยังเป็นกองทุนแรกไม่ใช่เฉพาะในไทยแต่ในอาเซียนที่เข้าไปลงทุนในกองทุนของ ‘ARK Investment Management’ อีกด้วย การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคมาสู่การใช้นวัตกรรมต่างๆ นี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ถาวรและทำให้มีความต้องการในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเติบโตขึ้นอีกมากในอนาคต ดังนั้นธีมนี้จะยังอยู่ไปในระยะเวลาอีก 5 – 7 ปี ข้างหน้าได้อย่างสบาย”
“หุ้นไทย” Upside ไม่มาก 5 – 10%...ไม่คาดหวังเงินต่างชาติจะไหลเข้าไทย-เหตุราคาไม่ถูกแล้ว
ส่วน “หุ้นไทย” นั้น ติยะชัย มองว่า ราคาไม่ถูก สัดส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) กว่า 30 เท่า หากมองโดยเปรียบเทียบกับตลาดอื่นในโลกยังมีตลาดที่น่าสนใจมากกว่า Upside ปีนี้ของหุ้นไทยประมาณ 5 – 10% จากระดับปัจจุบันที่ 1,500 จุด ก็ถือว่าใกล้เคียงกับที่ตลาดมองกันไว้ที่ประมาณ 1,600 จุด ในส่วนของเงินทุนต่างชาติเองไม่ได้คาดหวังว่าจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากนัก จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น อีกประเด็นคือเศรษฐกิจไทยยังคาดการณ์การฟื้นตัวได้ยาก เพราะมีหลายปัจจัยที่ยังคาดเดาไม่ได้ เช่น การฉีดวัคซีนจะครอบคลุมประชากรได้มากน้อยแค่ไหน, จะเปิดประเทศได้เมื่อไร หรือนักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาในไทยได้เมื่อไร เป็นต้น เพราะประเทศไทยเองพึ่งพิงภาคท่องเที่ยวและบริการค่อนข้างมาก
“ส่วนหุ้นที่น่าสนใจลงทุนจะเป็นหุ้นที่อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เช่น กลุ่มการเงิน, พลังงาน และปิโตรเคมี หากมองในภาพรวมเทียบกับโอกาสการลงทุนที่มีอยู่ในโลก นักลงทุนไทยยังสามารถที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ต่างประเทศได้ ขึ้นกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละคน”
ตั้งเป้า AUM ปี21 โตเลข 2 หลัก...เตรียมส่งกองใหม่ลุย “พลังงานทางเลือก” เพิ่มเติม
สำหรับเป้าหมายการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ในปีนี้ ยังตังเป้าเติบโตเป็นเลข 2 หลัก ปี20 ธุรกิจกองทุนรวมมีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 3,300 ล้านบาท เติบโตขึ้นมาถึง 50% เนื่องจากกองทุนเราแตกต่างจากตลาดทั่วไปเป็นเลือกลงทุนใน Niche Market ซึ่งปีนี้ยังโฟกัสไปที่ ‘Mega Trend’ ที่ยังนำตลาดโลกและสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดและมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องจากเทคโนโลยีและนวัตกรรม
“บริษัทมีแผนจะออกกองทุนใหม่เพิ่มเติมอีก 1 กอง เน้นลงทุนในพลังงานสะอาดพลังงานทางเลือกทั่วโลก ซึ่งถือเป็นอีกธีมที่น่าสนใจจากแรงผลักดันของประเทศต่างๆ ทั่วโลก”
สิ่งสำคัญที่สุด คือ “การจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation)” ที่เหมาะสม และมองหาโอกาสลงทุนในหุ้นที่อยู่ใน ‘Mega Trend’ ที่สามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง แม้ในปีที่ผ่านมาหุ้นเทคโนโลยีจะวิ่งกันขึ้นมากมากแล้วก็ตาม แต่ในระยะกลาง 5 – 7 ปี ทาง “บลจ.ฟิลลิป” ก็เชื่อมั่นว่า ‘ธีมเทคโนโลยี&นวัตกรรม’ ยังจะเติบโตต่อไปได้อีกไกลอย่างแน่นอน