‘ทางสายกลาง’ แพลนการลงทุนของคุณให้ง่ายขึ้นด้วย... “กอง K-PLAN2” !!!

การสร้าง “ความสมดุล” ให้แก่พอร์ตการลงทุน ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะ ‘ลดความเสี่ยง’ ในยามที่สินทรัพย์ใดสินทรัพย์มีความผันผวนสูง
จึงทำให้มีความจำเป็นที่จะต้อง “กระจายพอร์ต” การลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์ในสัดส่วนที่เหมาะให้เหมาะกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตัวเอง และสอดคล้องกับสภาวะตลาดด้วย
แต่การจัดพอร์ตให้มี “ความสมดุล” ด้วยตัวของบุคคลเองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป จึงมีผลิตภัณฑ์กองทุนรวมประเภท “Asset Allocation” เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการจัดพอร์ต
“กองทุนเปิดเค แพลน 2 (K-PLAN2)” เป็นอีกหนึ่งกองทุนภายใต้แนวคิดนี้ ที่จะช่วยให้การลงทุนของคุณง่ายขึ้น
ในวันนี้ทาง ‘Wealthy Thai’ มีเรื่องราวของกองทุนนี้ที่มีดีกรี ‘มอร์นิ่งสตาร์ 5 ดาว’ จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย มาแชร์ให้แก่นักลงทุนที่สนใจกันในครั้งนี้
“กอง K-PLAN2” ผลตอบแทนสะท้อนนโยบาย...11 ปีกว่า ทำผลตอบแทนได้ 4.47% ต่อปี
แนวคิดของ “กองทุนผสม” ที่มีการผสมสัดส่วนการลงทุนสำเร็จรูปมาให้กับผู้ลงทุนนั้น เพื่อช่วยให้การลงทุนของนักลงทุนง่ายขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนที่ไม่มีเวลาจะติดตามภาวะตลาด ไม่สามารถจัดสรรน้ำหนักการลงทุนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งส่วนผสมก็แตกต่างกันไปตามแต่นโยบายการลงทุน และเพื่อให้นักลงทุนได้เลือกง่ายขึ้นมาอีกระดับ กลุ่ม “กองทุนเปิดเค แพลน (K-PLAN)” จึงถือกำเนิดขึ้นมา
ซึ่งกองทุนในกลุ่มนี้ มี 3 กอง ได้แก่ ‘PLAN1-2-3’ ที่เน้นลงทุนใน ‘ตราสารหนี้’ และ ‘หุ้น’ ในสัดส่วนที่ต่างกัน ตามความคาดหวังของผลตอบแทนและความเสี่ยงการลงทุน โดยมีให้น้ำหนักการลงทุนใน ‘หุ้น’ และสัดส่วน ‘การลงทุนต่างประเทศ’ ที่แตกต่างกันเป็นสำคัญ
สำหรับ ‘กองทุน K-PLAN2’ ได้จัดตั้งขึ้นในวันที่ 28 ตุลาคม 2552 จนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 1,168,023,732 บาท มีมูลค่าหน่วยลงทุนอยู่ที่ 16.73 บาทต่อหน่วย ถือเป็นกองทุนที่ถูกออกแบบมาให้มีความเสี่ยงและผลตอบแทนคาดหวังระดับ ‘ปานกลาง’ ของกองทุนในกลุ่ม ‘K-PLAN’ นี้
“โดยกองทุนเป็นกองประเภท “Asset Allocation” มีการกระจายการลงทุนอยู่หลากหลายสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นในหุ้น ตราสารหนี้ และหรือเงินฝาก โดยจะลงทุนในหุ้น ‘ไม่เกิน 30%’ ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และลงทุนในต่างประเทศ ‘ไม่เกิน 30%’ ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าเงินลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ แต่จะไม่มีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของเงินลงทุนในหุ้นต่างประเทศ”
ณ วันที่ 29 มกราคม 2564 กองทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ดังนี้
-พันธบัตรหรือตราสารหนี้ รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลังประกัน 36.84%
-หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน 27.74%
-หน่วยลงทุน 16.15%
-หุ้นทุนอื่นๆ 12.08%
-หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยสถาบันประเภทบริการทางการเงิน 4.26%
-เงินฝากหรือตราสารเทียบเท่าเงินฝาก 2.25%
-อื่นๆ 0.68%
“จะเห็นว่า ‘กองทุน K-PLAN2’ มีการสัดส่วนการลงทุนเป็นไปตามนโยบาย มีสัดส่วนการลงทุนใน ‘หุ้น’ ประมาณ 28.23% ซึ่งมีการกระจายไปทั้งหน่วยลงทุนและหุ้นรายตัว ในขณะเดียวกันในส่วนของตราสารหนี้ก็มีการกระจายความเสี่ยงด้วยเช่นเดียวกัน”
ด้วยส่วนผสมที่ถูกออกแบบมาให้มีความเสี่ยงระดับ ‘ปานกลาง’ แต่ผลการดำเนินงานของกองทุนถือว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ณ วันที่ 29 ม.ค. 64) อยู่ที่ 4.47% ต่อปี ส่วนดัชนีชี้วัดเฉลี่ยอยู่ที่ 5.09% ต่อปี ขณะที่ความผันผวนของกองทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.78% ต่อปี ซึ่งไม่ต่างดัชนีชี้วัดมากนักที่อยู่ที่ 4.20% ต่อปี แต่อย่างไรก็ดีในช่วง 5 ปี กองทุนเคยมีผลขาดทุนสูงสุดอยู่ที่ -10.85%
“สำหรับการลงทุนระยะยาวตั้งแต่ 3 ปี ขึ้นไป รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.47% ต่อปี ถือว่าดีกว่าทิ้งเงินไว้ในบัญชีเงินฝากค่อนข้างมาก ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการที่จะผสมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตการลงทุนของคุณได้เป็นอย่างดี”
โดยผู้ที่สนใจ ‘กองทุน K-PLAN2’ การซื้อของหน่วยลงทุนนั้น มีมูลค่าขั้นต่ำของการซื้อครั้งแรกและครั้งถัดไปอยู่ที่ 500 บาทส่วนมูลค่าขั้นต่ำการขายคืนนั้นอยู่ที่ 500 บาทเช่นกัน โดยระยะเวลาการรับเงินค่าขายคืน ภายใน 3 วันทำการนับจากวันทำรายการขายคืน (T+3)
ส่วนช่องทางการซื้อขายกองทุนสามารถทำได้ผ่านช่องทาง DIGITAL (K-CYBER INVEST แอปพลิเคชั่น K-MY FUNDS และ K PLUS) ธนาคารกสิกรไทย และผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนอื่น
“สำหรับที่ใครกำลังหาตัวเลือกการลงทุนที่ไม่มีความผันผวนสูง และยังสามารถสร้างสมดุลให้แก่พอร์ตการลงทุน ‘กองทุน K-PLAN2’ ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย ด้วยการกระจายการลงทุนที่ครอบคลุมในทุกสินทรัพย์ พร้อมส่วนผสมของ ‘หุ้น’ ไม่เกิน 30% จึงไม่ต้องมานั่งกังวลในยามที่ความผันผวนเกิดกับตลาดที่เราลงทุนมากจนเกินไป แลกมากับผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีขึ้นในระยะยาวก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว”