“Energy Transition”...กำลังจะเป็น ‘เทรนด์’ การลงทุนใหม่ของโลก !!!

“อุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการบริโภค” ทุกวันนี้ คือส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอยู่ภายใต้ของการใช้พลังงานเป็นพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนและขาดไม่ได้ ในช่วงเวลากว่าร้อยปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดการใช้เครื่องจักรไอน้ำในอุตสาหกรรมทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรในธรรมชาติถูกดึงเข้ามาใช้สำหรับการสร้างพลังงานทางอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะถ่านหินและน้ำมัน และถูกใช้เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชากรในโลก จนเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้ในระบบเศรษฐกิจไปจนถึงการใช้ชีวิตของแต่ละคน
“ทว่าเหรียญมีสองด้าน ผลสะท้อนจากการบริโภคทรัพยากรดังกล่าว คือผลลัพธ์ที่กระทบกับสภาพแวดล้อมอย่างหนักในปัจจุบันภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการปล่อยก๊าซคาบอนไดออกไซด์ มีผลไปถึงการแปรปรวนของสภาพอากาศ , ความแห้งแล้งในหลายพื้นที่ในโลก ผลกระทบต่อผลผลิตทางเศรษฐกิจและสุขภาพ แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเราจะเห็นการใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ อยู่บ้างแต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าแทนที่การใช้แบบดั้งเดิมได้”
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมเพื่อสร้าง “พลังงานใหม่” ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อพยายามทดแทนพลังงานแบบเดิมพร้อมกับลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับ “ข้อตกลงสนธิสัญญาปารีส” ที่ระบุว่าต้องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือระดับ 9.8 กิกะตันภายในปี 2050 หรือลดลง 70% จากปัจจุบัน
ดังนั้น “การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงานใหม่ (Energy Transition)” กำลังจะเป็นเทรนด์การลงทุนที่น่าสนใจโดยปัจจุบันมีบริษัทกว่า 1,200 แห่งทั่วโลกที่พัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดและบริษัทหลายแห่งพัฒนาวัสดุอุปกรณ์พลังงานทดแทนที่ได้มาตรฐาน Social Development Gold (SGD) จาก “สหประชาชาติ” ประเมินว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงาน ที่จะเกิดขึ้นช่วงเวลา 30 ปีจากนี้ จะมีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 90 ล้านล้านเหรียญฯ และเป็นโอกาสการลงทุนในระยะยาวที่น่าสนใจ
นวัตกรรมหลักที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ ได้แก่
1) การใช้พลังงานที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ , อุปกรณ์พลังงานลมและอุปกรณ์เก็บพลังงาน
2) การพัฒนาวัสดุอุปกรณ์เพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน เช่น อาคารประหยัดพลังงาน
3) การพัฒนายานพาหนะการขนส่งที่ประหยัดพลังงาน เช่น รถยนต์ไร้คนขับ
“ประเทศอย่างสหรัฐฯ, จีนและยุโรป ถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีบริษัทพัฒนาพลังงานใหม่อยู่จำนวนมาก และมี ‘กองทุนรวม BNP PARIBAS’ ที่เข้าลงทุนในธุรกิจดังกล่าวนี้ และมีผลการดำเนินงานเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยตลอดปี 2020 ที่ผ่านมา ‘กองทุน BNP PARIBAS ENERGY TRANSITION’ สร้างผลตอบแทนอยู่ที่ 167.30% ต่อปี* และมีผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 208.08% เนื่องจากเข้าไปลงทุนในหุ้นธุรกิจด้านโครงสร้างพลังงานทดแทนที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม”
ซึ่งทาง “บลจ.วี” ได้มีกองทุนที่เข้าไปลงทุนผ่านกองทุน ‘BNP PARIBAS ENERGY TRANSITION’ ในชื่อว่า ‘กองทุนเปิด วี นิว ทรานซิชั่น เอนเนอร์จี (WE-TENERGY)’ ที่เปิดขาย IPO ระหว่างวันที่ 18-24 ก.พ. 21
“สถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบันนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มากเพราะมีผลต่อเรื่องสุขภาพของคนทุกเพทศทุกวัยบนโลกในระยะยาว ไม่ต่างจากเรื่อง COVID-19 แม้ว่ายังไม่สามารถหาพลังงานใหม่เข้าทดแทนได้อย่างทันทีทันใด การใช้พลังงานแบบเดิมยังคงมีความจำเป็น แม้จะมีแนวโน้มที่จะลดการใช้ลงอย่างแน่นอนหรืออาจจะถูกปรับเปลี่ยนให้เกิดการใช้ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาช่วยจัดการ”
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น “พลังงานดั้งเดิม” หรือ “พลังงานใหม่” ที่เข้ามาทดแทน ประเด็นที่เราอาจต้องให้ความสำคัญ คือ “การบริหารจัดการ” ทรัพยากรที่จะต้องให้เกิดคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ที่สุดภายใต้ความต้องของประชากรบนโลกที่มีจำนวนมากและแตกต่างกัน ถือว่าเป็นโจทย์ใหญ่ในระดับประเทศไปจนถึงตัวบุคคลที่ควรตระหนัก
*ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคตผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
